"เล่นกับไฟย่อมมอดไหม้ด้วยไฟ" จีนกร้าว ห้ามญี่ปุ่นแทรกแซง "ไต้หวัน"
Published: 16 พฤศจิกายน 2025 เวลา 5:47
วันนี้ (16 พ.ย.2568) สถานการณ์ความมั่นคงในเอเชียตะวันออกกําลังตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลัง ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกฯ ญี่ปุ่น ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะผู้นําสายอนุรักษนิยมและท่าทีแข็งกร้าวต่อจีน ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรัฐสภาญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยระบุว่าหากเกิดการใช้กําลังทางทหารในช่องแคบไต้หวัน สถานการณ์ดังกล่าว "อาจถือเป็นการคุกคามต่อการอยู่รอดของญี่ปุ่น"คําประกาศนี้ไม่ใช่แค่ถ้อยแถลงธรรมดา แต่มีน้ําหนักทางกฎหมายสําคัญ เนื่องจากวลี "สถานการณ์คุกคามการอยู่รอด" เป็นเกณฑ์หลักตามกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ.2558 ซึ่งอนุญาตให้ญี่ปุ่นใช้สิทธิป้องกันร่วมกัน (Collective Self-Defense) เพื่อช่วยเหลือพันธมิตร หากความมั่นคงของตนเองถูกกระทบโดยตรงในอดีต ผู้นําญี่ปุ่นมักหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงไต้หวันอย่างตรงไปตรงมา เพื่อรักษานโยบายความคลุมเครือทางยุทธศาสตร์ที่ช่วยลดความขัดแย้งกับจีน แต่การเปลี่ยนแปลงท่าทีของ นายกฯ ทาคาอิจิ ครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นจุดพลิกผันสําคัญ สะท้อนความพร้อมของญี่ปุ่นที่จะมีบทบาททางทหารที่เด่นชัดยิ่งขึ้นในภูมิภาค แม้ต่อมาจะชี้แจงว่าเป็นเพียง "สมมติฐาน" เท่านั้น แต่เธอยืนยันว่าท่าทีนี้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลเดิม และปฏิเสธที่จะถอนคําพูดก่อนขึ้นสู่อํานาจ ทาคาอิจิเคยเยือนไต้หวันและพบปะตัวแทนไต้หวันนอกรอบการประชุม APEC ซึ่งจีนประณามว่าเป็นการละเมิดหลักการ "จีนเดียว" ทําให้ภาพลักษณ์ของเธอในสายตาปักกิ่งกลายเป็นผู้นําสายเหยี่ยวที่ไม่ยอมอ่อนข้อการประกาศดังกล่าวกระตุ้นให้รัฐบาลจีนตอบโต้อย่างดุดันทันที กระทรวงการต่างประเทศจีน ออกแถลงการณ์ประณามคําพูดของนายกฯ ญี่ปุ่นว่า "รุนแรงและแทรกแซงกิจการภายในอย่างร้ายแรง" พร้อมเรียกเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําปักกิ่งเข้าพบเพื่อประท้วงอย่างเป็นทางการแรงกดดันยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อ นายซือ เจี้ยน กงสุลใหญ่จีนประจําโอซากะ โพสต์ข้อความเชิงข่มขู่บนโซเชียลมีเดียว่า "หัวสกปรกที่ยื่นเข้ามาจะต้องถูกตัดออก" ซึ่งถูกตีความว่าเป็นสัญลักษณ์ของ "การทูตนักรบหมาป่า" (Wolf warrior diplomacy) สไตล์จีนที่ใช้ตอบโต้ประเทศที่มองว่าเป็นภัยต่ออธิปไตยเหนือไต้หวันโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนยังเตือนชัดเจนว่าหากญี่ปุ่นเข้าไปมีส่วนร่วมทางทหารในช่องแคบไต้หวัน จะถือเป็น "การรุกราน" และจีนจะตอบโต้ "อย่างเด็ดขาดและรุนแรงที่สุด" เพื่อปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติ"สนธิสัญญาชิโมโนเซกิ" ไต้หวันคือบาดแผลประวัติศาสตร์ที่จีน-ญี่ปุ่น ไม่เคยลืมความขัดแย้งครั้งนี้ มีรากเหง้าลึกในประวัติศาสตร์ โดยย้อนไปถึงสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 (พ.ศ.2437-2438) ซึ่งจบลงด้วยสนธิสัญญาชิโมโนเซกิ ที่บังคับให้ราชสํานักชิงยกไต้หวันให้ญี่ปุ่นปกครองเป็นเวลา 50 ปี จีนยังคงมองยุคสมัยนั้นว่าเป็นการรุกรานที่ก่อความเสียหายรุนแรงต่อชาวไต้หวัน และนํามาใช้เป็นฐานอ้างสิทธิ์ว่าญี่ปุ่นมี "ความรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์" ต่อปัญหาไต้หวันในปัจจุบันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไต้หวันถูกส่งคืนให้สาธารณรัฐจีน ซึ่งปักกิ่งมองว่าเป็นการฟื้นฟูอํานาจอธิปไตยที่สมบูรณ์ ดังนั้น ไต้หวันจึงกลายเป็น "เส้นแดงสูงสุด" ที่จีนย้ําว่าไม่มีวันยอมให้ใครล้ําเส้นสําหรับญี่ปุ่น การมองไต้หวันว่าเป็นประเด็นความอยู่รอดของชาติ มีเหตุผลจากภูมิรัฐศาสตร์โดยตรง "เกาะโยนากูนิ" ซึ่งใกล้ไต้หวันที่สุดอยู่ห่างเพียง 110 กิโลเมตร ทําให้ความขัดแย้งในช่องแคบส่งผลกระทบทันทีต่อญี่ปุ่น โดยไม่ต้องรอให้ลุกลาม ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงชี้ว่า จีนอาจเลือกยุทธวิธีไม่บุกเต็มรูปแบบ แต่อาจเลือกใช้การปิดล้อมทางทะเลเพื่อจํากัดการขนส่งพลังงานและสินค้าไปยังไต้หวัน มีโอกาสเกิดสูงกว่า แต่ก็สามารถสั่นคลอนเส้นทางเรือสําคัญของญี่ปุ่นได้รายงานการจําลองสถานการณ์รบ (Wargame) ของ CSIS ยังประเมินว่าหากจีนโจมตีไต้หวันในปี 2569 จีนมีแนวโน้มจะโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในโอกินาวะ อย่างหนักไปด้วย ญี่ปุ่นจึงกลายเป็นศูนย์กลางการส่งกําลังบํารุงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสมรภูมิไต้หวัน โดยเฉพาะฐานทัพคาเดนาที่เป็นหัวใจของแผนป้องกันไต้หวันของสหรัฐฯ สงครามอาจไม่เกิด เมื่อเดิมพันคือ "เศรษฐกิจ"อย่างไรก็ตาม แม้ถ้อยคําจะรุนแรงและเต็มไปด้วยคําเตือน แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าโอกาสที่สถานการณ์จะบานปลายสู่สงครามใหญ่ยังต่ํา เนื่องจากจีนและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่พึ่งพิงกันอย่างแนบแน่น การเผชิญหน้าทางทหารจะก่อต้นทุนมหาศาลต่อห่วงโซ่อุปทานภูมิภาค จีนกําลังเผชิญเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ญี่ปุ่นต้องรับมือสังคมสูงวัยและเศรษฐกิจซบเซาทั้ง 2 ฝ่ายจึงไม่ปรารถนาความขัดแย้งที่อาจทําลายทุกอย่าง แต่การเปลี่ยนจุดยืนของ นายกฯ ทาคาอิจิ แสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นกําลังก้าวสู่ยุคใหม่ของระบบความมั่นคงแบบบูรณาการ (Integrated Security Architecture) ร่วมกับพันธมิตร โดยมีสหรัฐฯ เป็นแกนหลัก เพื่อรับมือความท้าทายยุทธศาสตร์ในอินโด-แปซิฟิกที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆที่มาข้อมูล : How Japan’s new prime minister has brought China’s ‘wolf warriors’ back outChina is embracing a new brand of foreign policy. Here’s what wolf warrior diplomacy meansJapan Might Be Ready to Fight for Taiwan. Would America Do the Same?อ่านข่าวอื่น :น้ําท่วมอยุธยายังวิกฤต ผู้เสียชีวิตพุ่ง 14 คน ล่าสุดชาย 15 ปี พลัดจมน้ําอนุทินยัน "ทรัมป์" ไม่ผูกภาษีการค้ากับปฏิญญาสันติภาพ อ่านต่อ...