iBALLTHAI

← ย้อนกลับ
‘ดร.ณัฏฐ์’ฟันเปรี้ยง ‘พยาน’โร่กลับคําให้การคดี‘ฮั้ว สว.’แต่ไร้ผลกระทบต่อรูปคดี

‘ดร.ณัฏฐ์’ฟันเปรี้ยง ‘พยาน’โร่กลับคําให้การคดี‘ฮั้ว สว.’แต่ไร้ผลกระทบต่อรูปคดี

Published: 14 พฤศจิกายน 2025 เวลา 11:51

ภัยหลุดพ้นเพราะการเมืองเปลี่ยนขั้ว! ดร.ณัฏฐ์ฟันเปรี้ยง พยานโร่กลับคําให้การคดีฮั้ว สว.แต่ไร้ผลกระทบต่อรูปคดีเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 สืบเนื่องจากมีพยานบางปากกลับคําให้การในชั้นสอบสวน ในคดีฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้สอบสวน ตามหนังสือถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้การเพิ่มเติมลงวันที่ 29 ตุลาคม 2568 โดยได้เอกสารเผยแพร่สู่สาธารณะ ทําให้มีการข้อถกเถียงกันว่า เป็นเกมการเมืองหรือไม่ ผลกลับคําให้การจะมีผลกระทบต่อคดีเป็นอย่างไร มีผลเชื่อมโยงถึงคดีที่ กกต.ดําเนินการสืบสวนและไต่สวนวินิจฉัยชี้ขาดหรือไม่อย่างไรโดย ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชนชื่อดัง หรือ ดร.ณัฏฐ์ ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและกล่าวว่า ปมพยานกลับคําให้การ ทําให้สังคมสับสนว่า จะมีผลล้มคดีฮั้ว สว.หรือไม่อย่างไร ต้องทําความเข้าใจต่อระบบสอบสวนก่อนว่า อํานาจสอบสวนของดีเอสไอกับ กกต.ในคดีฮั้ว สว.แยกต่างหากจากกันแต่กลเกม เทคนิค เป้าหมายเพื่อล้มคดีฮั้ว สว.เพื่อทําลายน้ําหนักพยานในสํานวน หากพยานรายดังกล่าวเป็นประจักษ์พยานสําคัญในคดี จะทําให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดย กกต.และดีเอสไอ ช้กฎหมายคนละฉบับ โดยใช้ระบบการแสวงหาข้อเท็จจริงต่างกัน โดย กกต.ใช้ระบบไต่สวน ส่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษใช้ระบบกล่าวหา โดยมีเขตอํานาจศาลต่างกัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ต้องส่งสํานวนคดีอาญาไปยังพนักงานอัยการคดีทุจริตฯว่า มีความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่ หากสั่งฟ้อง ต้องนําตัวผู้ต้องหาไปฟ้องต่อ ศาลอาญาดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่า ส่วน ที่ กกต.ไต่สวน มีหลักฐานอันควรเชื่อว่า ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทําการอันเป็นการทะจริตในการเลือกหรือรู้เห็นกับการกระทําของบุคคลอื่น อันทําให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้ กกต.ยื่นคําร้องต่อ ศาลฎีกา เพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง ตาม พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.มาตรา 62 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลฎีกามีคําสั่งรับคําร้องไว้พิจารณา หากผู้ถูกกล่าวหามีสมาชิกภาพเป็น สว.ให้ผู้นั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษา ตาม พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.มาตรา 62 วรรคสอง คดีฮั้ว สว.มีผู้ถูกกล่าวหา 229 ราย อยู่ในขั้นตอนพิจารณาของคณะอนุกรรมการวินิจฉัยคําร้องปัญหาหรือข้อโต้แย้งชุดที่ 36 เมื่อกลั่นกรองความเห็นต้องส่งสํานวนไปยัง กกต.มีระยะเวลา 90 วันนับแต่วันที่ได้รับสํานวนจากเลขาธิการ กกต.หาก กกต.มีมติเสียงข้างมาก วินิจฉัยชี้ขาดยืนตามความเห็นของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ชุดที่ 26 เป็นการกระทําทุจริตการเลือก สว.ฝ่าฝืน พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.พ.ศ.2561 มาตรา 77 (1) โดยบทบัญญัติ มาตรา 77 วรรคสอง ตามพระราชบัญญัติเดียวกัน ให้ถือว่า การทุจริตการเลือก สว.เป็นความผิดฐานฟอกเงินไปในตัวกกต.มีหน้าที่ส่งเรื่องให้ ปปช.ดําเนินการยึดทรัพย์ ​พูดภาษาชาวบ้าน คือ คดีทุจริต เลือก สว.สีน้ําเงิน เป็นอํานาจ กกต.ถือสํานวน กกต.เป็นหลัก หาก กกต.ชี้ขาดว่า ผิด สว.กับพวก กระทําผิดร่วมกันฮั้ว สว.ถูกคดีอาญาและถูกยึดทรัพย์เป็นของแถมด้วย ส่วนจะเหมาแข่ง หรือว่ารอดคดียกเข่งหรือรอดคดีบางส่วน ผลคดีต้องไปลุ้น อยู่ที่กกต.เป็นหลัก ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวดร.ณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ส่วนคดีอาญา ในความผิดฐานฟอกเงิน หรือสมคบกันฟอกเงิน ตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน ที่อยู่ในอํานาจาของกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อคณะกรรมการคดีพิเศษรับเป็นคดีแล้ว เป็นหน้าที่ของ คณะทํางานพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษที่มีองค์ประกอบพนักงานอัยการร่วมสอบสวนด้วย ย่อมนําผลคดีที่ กกต.วินิจฉัยชี้ขาด ไปแจ้งข้อหากับผู้ถูกกล่าวหา 229 คนด้วยส่วนพยานรายกลับคําให้การชั้นสอบสวน เป็น กลลวง โยนหินถามทางและกระแสสังคม เดิมพยานรายดังกล่าว เป็นผู้ต้องหาผู้ร่วมกันกระทําความผิด ต่อมาให้การเป็นประโยชน์ในชั้นสอบสวน ย่อมเป็นอํานาจของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกันไว้เป็นพยานได้ หากเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ตาม พรบ.สอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 โดยหลักในคดีอาญา ห้ามโจทก์อ้างจําเลยเป็นพยาน ส่วนชั้นพิจารณา หน้าที่นําสืบก่อน เป็นหน้าที่ของโจทก์ โจทก์มีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ว่า จําเลยกระทําความผิดตามฟ้องและศาลเชื่อว่าจําเลยได้กระทําผิดจริงดร.ณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า หาก พยานกลับคําให้การอ้างว่า ได้ถูกวางงาน โดย ท่องบท ให้ร้ายต่อพรรคภูมิใจไทย เพราะถูกบังคับขู่เข็ญ เมื่อการเมืองเปลี่ยน มาให้ถ้อยคําใหม่ ต้องพิจารณาว่า ถูกคณะพนักงานสอบสวนขู่เข็ญจริง หรือ ตัวแปรภายหลัง เป็นเพียงแลกผลประโยชน์ทางการเมือง เพราะย้ายสังกัดพรรครัฐบาล เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะหากการกลับคําให้การ เพราะถูกขู่เข็ญจะต้องเกิดจากพนักงานสอบสวน มิใช่เกิดจากบุคคลภายนอก การกลับคําให้การจะต้องสมเหตุสมผล เพราะการให้ถ้อยคําทันทีโดยพลันแต่แรกต่อเจ้าพนักงาน ศาลเชื่อว่าเป็นจริง ส่วนกลับคําให้การภายหลังอ้างเพราะภัยหมดไป เพราะเหตุการเมืองเปลี่ยน ย่อมมีน้ําหนักน้อย โดยเฉพาะการท่องบท การพูด เหมือนแกงค์สแกรมเมอร์ หรือแกงค์คอลเซนเตอร์ ไม่สมเหตุสมผล กับการให้ถ้อยคําต่อพนักงานสอบสวน มีความแตกต่างกันเพราะคําให้การ เอกสารท่อนตอนท้าย ระบุว่า ข้าฯให้การต่อความเป็นจริงทุกประการ และลงชื่อในคําให้การพยานเหตุที่เป็นเช่นนี้ คณะพนักงานสอบสวน กระทําเป็นองค์คณะ มิได้กระทําเพียงคนเดียว มีพนักงานอัยการร่วมสอบสวนด้วยการบังคับขู่เข็ญ จะต้องได้ความว่า คณะพนักงานสอบสนวนคดีพิเศษ รายใด บังคับขู่เข็ญ ทั้ง ไม่มีผลต่อคดีของ กกต.เพราะไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้ กกต.ต้องถือผลคดีตามคดีฟอกเงินของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ แม้ผู้ต้องหาที่กันไว้เป็นพยานกลับคําให้การ คณะพนักงานสอบสวนย่อม สามารถมีความเห็นสั่งฟ้องในฐานะผู้ต้องหาได้เพราะยังไม่สรุปผลการสอบสวนส่งสํานวนให้พนักงานอัยการ เพราะตัวผู้ต้องหากันไว้เป็นพยาน ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดี สําเนา บันทึกประจําวันไว้เป็นหลักฐาน สภ.ขอนแก่น มิใช่เป็นการ ร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดําเนินคดีอาญากับคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษรายใด พยานปากดังกล่าว อ้างว่า ถูกข่มขู่ หรือ ขู่เข็ญ เพื่อบังคับเพื่อให้การปรักปรําให้ร้ายพรรคภูมิใจไทย โดยอ้างถึงบุคคลภายนอกคดี มิใช่พนักงานสอบสวนในคดี ย่อมทําให้มีน้ําหนักน้อย รับฟังไม่ได้อีกทั้ง พยานปรปักษ์เช่นนี้ ในชั้นพิจารณา พนักงานอัยการย่อมถามความแบบ ปรปักษ์ และใช้ คําถามนํา ได้ เพื่อทําลายน้ําหนักของพยานปากดังกล่าวศาลฎีกาได้วางแนวคําพิพากษาไว้เป็นบรรทัดฐานว่า ถ้อยคําของพยานหรือผู้กล่าวหาแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบโดยพลัน แม้กลับให้การในภายหลัง ไม่สมเหตุสมผล ย่อมมีน้ําหนักรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นลงโทษจําเลยได้ชั้นพิจารณา หากพยานฝ่ายโจทก์กลับคําให้การ เป็นหน้าที่ของพนักงานอัยการ ถามความแบบปรปักษ์เพื่อค้นหาความจริงและภายหลังเบิกความแล้ว ต้องแจ้งให้พนักงานสอบสวน ดําเนินคดีอาญาฐานแจ้งความเท็จแก่พนักงานสอบสวน ตาม ปอ.มาตรา 172,173,174 ส่วนเทคนิค หากเป็นพยานในสํานวน กกต.ด้วย พยานปากดังกล่าว จะใช้เทคนิคเดียวกัน ยื่นคําร้องต่อประธาน กกต.ในลักษณะเดียวกัน เพื่อเปิดช่องให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยคําร้องปัญหาหรือข้อโต้แย้ง ชุดที่ 36 มีความเห็นสั่งสอบพยานบุคคลปากดังกล่าวเพิ่มเติม แม้พยานปากดังกล่าวไม่น่าเชื่อถือ แต่เป็นดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน หากมีการตั้งธงเป่าคดีอาจนําเหตุผลนี้ไประบุว่า มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน พยานกลับคําให้การ มีผลทําให้น้ําหนักคดีเปลี่ยนไป หากเป็นประจักษ์พยานสําคัญเพียงปากเดียว ย่อมทําให้โอกาสน้ําหนักคดีลดน้อยลง ส่งผลต่อคําวินิจฉัยชี้ขาดคดีในชั้นที่ประชุม กกต.ด่านสุดท้ายดร.ณัฐวุฒิ กล่าว- 006 อ่านต่อ...